แชร์

EP.1 Energy Transition: เมื่อ "แสงอาทิตย์" เปลี่ยนดุลอำนาจมหาอำนาจโลก

IMG_7945.jpeg Miss Kaewthip
อัพเดทล่าสุด: 3 ต.ค. 2025
14 ผู้เข้าชม

ระเบียบพลังงานใหม่: การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ในการเปลี่ยนผ่านจากรัฐปิโตรเลียมสู่รัฐอิเล็กตรอน
ส่วนที่ 1: การปฏิวัติพลังงานที่กำลังเผยตัว: ภาพรวมเชิงปริมาณ
รากฐานของการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของโลกในศตวรรษที่ 21 ตั้งอยู่บนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบพลังงานโลก การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เคยเป็นหัวใจหลักของความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมมานานกว่าศตวรรษ ไปสู่ระบบที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดการณ์ในอนาคตอันไกลอีกต่อไป แต่เป็นความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแรงผลักดันที่ไม่อาจย้อนกลับได้ การวิเคราะห์เชิงปริมาณในส่วนนี้จะสังเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยงานพลังงานชั้นนำของโลก เพื่อสร้างภาพที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีขนาดและความเร็วมากเพียงใด ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเชิงประจักษ์สำหรับการวิเคราะห์ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ในส่วนต่อๆ ไป

การผงาดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งของพลังงานแสงอาทิตย์และลม
ข้อมูลจากการคาดการณ์ในทุกสถานการณ์ที่น่าเชื่อถือได้ชี้ตรงกันว่า แหล่งพลังงานหมุนเวียนซึ่งนำโดยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar PV) และพลังงานลม จะกลายเป็นองค์ประกอบหลักในการผลิตไฟฟ้าของโลก โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกภายในปี 2050 การเติบโตนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้คาดการณ์ถึงหมุดหมายสำคัญหลายประการที่จะเกิดขึ้นในทศวรรษนี้ ซึ่งจะยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ด้านพลังงานอย่างชัดเจน:  

ปี 2025: การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะแซงหน้าการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์  

ปี 2026: การผลิตไฟฟ้าจากทั้งพลังงานลมและเซลล์แสงอาทิตย์จะแซงหน้าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์  

ปี 2029: การผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จะแซงหน้าพลังงานน้ำ และกลายเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก  

อัตราการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่เฉลี่ย 5.9% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าสองเท่าของอัตราการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกโดยรวมที่ 2.5% ต่อปี ตัวเลขนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันบ่งชี้ว่าพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่ยังเริ่มเข้ามาแทนที่ส่วนแบ่งของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีอยู่เดิมอีกด้วย ความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากภาคอาคาร การขนส่ง การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังถูกตอบสนองเกือบทั้งหมดโดยแหล่งพลังงานปล่อยมลพิษต่ำ ซึ่งนำโดยการขยายตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนของเซลล์แสงอาทิตย์  

การเสื่อมถอยเชิงโครงสร้างของเชื้อเพลิงฟอสซิล
ในขณะที่พลังงานหมุนเวียนกำลังรุ่งโรจน์ เชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการเสื่อมถอยเชิงโครงสร้าง แม้ว่าความเร็วของการเสื่อมถอยจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ แต่ทิศทางนั้นชัดเจน:

ถ่านหิน: ความต้องการถ่านหินทั่วโลกจะลดลงในทุกสถานการณ์ โดยคาดว่าจะลดลงระหว่าง 28% ถึง 93% ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับปี 2023  

ก๊าซธรรมชาติ: อนาคตของก๊าซธรรมชาติมีความหลากหลายมากกว่า ในสถานการณ์ที่นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศไม่เข้มงวด ความต้องการอาจทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น แต่ในสถานการณ์ที่มุ่งมั่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความต้องการจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะไม่หายไปทั้งหมดก็ตาม  

น้ำมัน: แม้ว่าความต้องการน้ำมันและก๊าซจะยังคงอยู่ในระดับสูงในระยะสั้น แต่การคาดการณ์ที่สำคัญที่สุดจาก IEA ในสถานการณ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ระบุว่า "ไม่จำเป็นต้องมีโครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแบบดั้งเดิมที่มีระยะเวลานำยาวนานโครงการใหม่" นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลทุกชนิดจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030 และจะเริ่มลดลงหลังจากนั้น  

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะนโยบาย แต่ยังถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์ที่ทรงพลัง ปัจจุบัน พลังงานแสงอาทิตย์เป็นทางเลือกที่ถูกที่สุดสำหรับการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในเกือบทุกประเทศทั่วโลก ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจนี้ เมื่อรวมกับต้นทุนด้านสุขภาพและเศรษฐกิจมหาศาลที่เกิดจากมลพิษทางอากาศที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งประเมินไว้ที่ 8.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ได้สร้างแรงจูงใจที่แข็งแกร่งและเสริมแรงซึ่งกันและกันให้เร่งการเปลี่ยนผ่าน การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเปลี่ยนนิยามของ "ความมั่นคงทางพลังงาน" จากเดิมที่มุ่งเน้นการจัดหาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีความผันผวน ไปสู่การสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีพลังงานสะอาด  

การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางภูมิรัฐศาสตร์ "จุดตัด" (Crossover Point) ที่พลังงานหมุนเวียนแซงหน้าถ่านหินในปี 2025 ไม่ใช่แค่หมุดหมายทางสถิติ แต่เป็นสัญญาณทางจิตวิทยาและตลาดที่ทรงพลัง เมื่อกระบวนทัศน์พลังงานใหม่กลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่าในแง่ของ กำลังการผลิต มันจะกระตุ้นให้เกิดการไหลออกของเงินทุนอย่างรวดเร็วจากกระบวนทัศน์เก่า (เชื้อเพลิงฟอสซิล) และการหลั่งไหลของการลงทุนเข้าสู่กระบวนทัศน์ใหม่ (พลังงานหมุนเวียน) การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเงินทุนและความเชื่อมั่นนี้จะกัดกร่อนการรับรู้ถึงความอยู่รอดในระยะยาวของสินทรัพย์หลักของรัฐปิโตรเลียม การรับรู้ถึงการเสื่อมถอยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้จะกระตุ้นให้รัฐปิโตรเลียมมีพฤติกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้สูงสุดในระยะสั้นอย่างก้าวร้าวมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมนโยบายอุตสาหกรรมของรัฐอิเล็กตรอนที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ จุดตัดนี้เปรียบเสมือนเสียงปืนที่ส่งสัญญาณเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนดุลอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในระยะสุดท้าย

ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ "การแยกตัวครั้งใหญ่" (The Great Decoupling) ของการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากการบริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิล แม้ว่าความต้องการพลังงานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจากการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น, AI, และการพัฒนาในกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) แต่ความต้องการที่เพิ่มขึ้น ใหม่ ทั้งหมดนี้กำลังถูกตอบสนองโดยแหล่งพลังงานปล่อยมลพิษต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่คือพลังงานแสงอาทิตย์ นี่หมายความว่าเป็นครั้งแรกในยุคอุตสาหกรรมที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกกำลังแยกตัวออกจากการบริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิล สิ่งนี้ได้ทำลายข้อโต้แย้งหลักที่ผู้ส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลเคยใช้มาโดยตลอด นั่นคือโลกต้องการผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเพื่อการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรือง มันเปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถแสวงหาการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่ต้องผูกมัดตัวเองเข้ากับการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา ซึ่งเป็นการบั่นทอนอำนาจต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ในระยะยาวของรัฐปิโตรเลียมที่มีต่อกลุ่มประเทศโลกใต้  

ส่วนที่ 2: ยุคอัสดงของรัฐปิโตรเลียม: การปรับตัวและการต่อต้าน
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ด้านพลังงานที่อธิบายไว้ในส่วนที่แล้วได้สร้างสภาวะที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อมหาอำนาจพลังงานดั้งเดิมของโลก หรือที่เรียกว่า "รัฐปิโตรเลียม" (Petro-States) ประเทศเหล่านี้ซึ่งอำนาจรัฐและอิทธิพลระหว่างประเทศถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของรายได้จากไฮโดรคาร์บอน กำลังเผชิญกับภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของรูปแบบรัฐที่เป็นอยู่ ส่วนนี้จะวิเคราะห์ถึงสภาวะการณ์ของมหาอำนาจเหล่านี้ โดยจะแสดงให้เห็นถึงการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจอย่างสุดขั้วต่อเชื้อเพลิงฟอสซิล และจะเจาะลึกถึงกลยุทธ์การตอบสนองของพวกเขา ซึ่งมีตั้งแต่ความพยายามอย่างแข็งขันในการจัดการการเสื่อมถอยและสร้างรายได้สูงสุดในระยะสั้น ไปจนถึงแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจระยะยาวที่ทะเยอทะยาน

รากฐานแห่งอำนาจ: การพึ่งพิงทางเศรษฐกิจต่อไฮโดรคาร์บอน
อำนาจของรัฐปิโตรเลียมไม่ได้มาจากขนาดกองทัพหรืออุดมการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก แต่มาจากความสามารถในการควบคุมและส่งออกทรัพยากรไฮโดรคาร์บอน ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลที่ค้ำจุนโครงสร้างรัฐและช่วยให้สามารถแผ่อิทธิพลในเวทีโลกได้ การพึ่งพิงนี้มีระดับที่สูงมากจนน่าตกใจ ในซาอุดีอาระเบีย ภาคปิโตรเลียมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และสูงถึง 90% ของรายได้จากการส่งออก ในอดีต รายได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนระหว่าง 30% ถึง 45% ของงบประมาณของรัฐบาลกลาง และสำหรับประเทศสมาชิก OPEC อื่นๆ เช่น แอลจีเรีย อิรัก และคูเวต เชื้อเพลิงคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของการส่งออกทั้งหมด โครงสร้างทางเศรษฐกิจเช่นนี้ทำให้เสถียรภาพของรัฐและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศเหล่านี้มีความเปราะบางอย่างยิ่งต่อการลดลงของความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว  

การจัดการการเสื่อมถอย: พันธมิตร OPEC+
เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านพลังงาน รัฐปิโตรเลียมได้พัฒนากลยุทธ์หลักในการจัดการการเสื่อมถอย นั่นคือการร่วมมือกันภายใต้กลุ่ม OPEC+ ซึ่งเป็นการขยายความร่วมมือจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) เดิม โดยรวมรัสเซียเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญ ความร่วมมือระหว่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซียนี้ได้เพิ่มขนาด วินัย และประสิทธิภาพของกลุ่มพันธมิตรอย่างมีนัยสำคัญ เป้าหมายหลักคือการดำเนินนโยบายที่ "แข็งกร้าว" (hawkish) มากขึ้นเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันให้สูง โดยการลดกำลังการผลิตอย่างมีวินัยเพื่อพยุงตลาด  

การกระทำของ OPEC+ เช่น การลดกำลังการผลิต มักถูกมองในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์ว่าเป็นมาตรการเชิงรุกที่มุ่งเป้าไปที่ประเทศผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในบริบทของความต้องการน้ำมันที่คาดว่าจะถึงจุดสูงสุดและลดลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การกระทำเหล่านี้สามารถเข้าใจได้ดีขึ้นว่าเป็นกลยุทธ์ทางการเงินเชิงรับ เป้าหมายไม่ใช่การกลับมาครองตลาดในระยะยาว แต่เป็นการสร้างรายได้สูงสุดจากสินทรัพย์ที่กำลังเสื่อมค่า  

ก่อนที่ มันจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ไร้มูลค่า (stranded asset) นี่คือการรวมกลุ่มเพื่อจัดการการเลิกกิจการอย่างมีระบบ การกระทำของพวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่เสถียรภาพของราคาในระยะสั้นมากกว่าส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้ในแนวหลังเพื่อต้านทานความล้าสมัยของตลาด

สำหรับรัสเซีย ความร่วมมือนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อต้านมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกและลดทอนความพยายามในการโดดเดี่ยวรัสเซียในเวทีโลก ในขณะเดียวกัน สำหรับซาอุดีอาระเบีย มันคือการประกาศความเป็นอิสระจากอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา และการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ซึ่งเห็นได้จากการปฏิเสธคำขอของสหรัฐฯ ที่ให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน  

การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ I - Saudi Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย
ซาอุดีอาระเบียตระหนักถึงภัยคุกคามต่อความอยู่รอดจากการลดคาร์บอน และได้เปิดตัวแผน "Vision 2030" ซึ่งเป็นแผนปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมที่ทะเยอทะยานที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักร เป้าหมายหลักคือการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจให้พ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน หนึ่งในเสาหลักที่สำคัญที่สุดของแผนนี้คือ "โครงการส่วนผสมพลังงานที่เหมาะสมที่สุด" (Optimum Energy Mix Program) ซึ่งตั้งเป้าหมายให้การผลิตไฟฟ้าในประเทศมาจากก๊าซธรรมชาติ 50% และพลังงานหมุนเวียน 50% ภายในปี 2030 แผนนี้รวมถึงการเลิกใช้เชื้อเพลิงเหลวในการผลิตไฟฟ้าอย่างสิ้นเชิง และการสร้างห่วงโซ่มูลค่าพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาไปจนถึงการผลิต  

อย่างไรก็ตาม แผนการปฏิรูปนี้ได้สร้าง "ความขัดแย้งในการกระจายความเสี่ยง" (Diversification Paradox) ขึ้นมา แผน Vision 2030 ที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์นี้ จำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาล ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากรายได้จากการขายน้ำมัน สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งพื้นฐานขึ้น: เพื่อที่จะ финансироватьอนาคตสีเขียวของตน ซาอุดีอาระเบียจำเป็นต้องรักษาราคาน้ำมันให้สูงในปัจจุบัน ความจำเป็นนี้บีบให้ซาอุดีอาระเบียต้องดำเนินนโยบาย (เช่น การลดกำลังการผลิตของ OPEC+) ที่ขัดแย้งโดยตรงกับเป้าหมายด้านสภาพอากาศและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของพันธมิตรด้านความมั่นคงดั้งเดิมอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ความตึงเครียดเชิงโครงสร้างนี้จะเป็นแหล่งที่มาสำคัญของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต โดยที่ชาติตะวันตกจะผลักดันให้ราคาน้ำมันลดลงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและเร่งการเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียต้องการราคาสูงเพื่อเป็นทุนในการหลุดพ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน  

การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ II - กลยุทธ์ที่คลุมเครือของรัสเซีย
แนวทางของรัสเซียมีความขัดแย้งในตัวเองมากกว่า แม้จะตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060 แต่กลยุทธ์ของรัสเซียกลับพึ่งพาการส่งเสริมก๊าซธรรมชาติในฐานะ "เชื้อเพลิงเปลี่ยนผ่านที่สะอาด" และใช้ประโยชน์จากกำลังการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากยุคโซเวียต ท่าทีอย่างเป็นทางการคือภาคพลังงานของรัสเซียนั้น "สะอาดเพียงพอแล้ว" และไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำให้สะอาดยิ่งขึ้นไปอีก  

ในขณะเดียวกัน รัสเซียก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างรายได้จากทรัพยากรไฮโดรคาร์บอนของตนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่ความต้องการของโลกจะจางหายไป นี่สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการชะลอและปรับเปลี่ยนรูปแบบการเปลี่ยนผ่านพลังงานให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง มากกว่าที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง รัสเซียมองว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของชาติ และยังคงมองว่าพลังงานหมุนเวียนเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเป็นมุมมองที่ล้าสมัยไปแล้วในทศวรรษ 2020  

โดยสรุป รัฐปิโตรเลียมกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ พวกเขากำลังใช้เครื่องมือที่มีอยู่ เช่น การควบคุมการผลิตน้ำมัน เพื่อยืดเวลาและจัดการการเสื่อมถอยของอำนาจ ในขณะที่บางประเทศอย่างซาอุดีอาระเบียกำลังพยายามอย่างจริงจังที่จะปฏิวัติตัวเองเพื่อความอยู่รอดในระเบียบพลังงานใหม่ แต่ความสำเร็จของความพยายามเหล่านี้ยังคงไม่แน่นอนและเต็มไปด้วยความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่จะเป็นตัวกำหนดพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ในทศวรรษหน้า

ส่วนที่ 3: รุ่งอรุณแห่งรัฐอิเล็กตรอน: อำนาจนำด้านพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ของจีน
ในขณะที่ยุคของรัฐปิโตรเลียมกำลังคล้อยสู่ช่วงอัสดง การเปลี่ยนผ่านพลังงานได้ให้กำเนิดมหาอำนาจรูปแบบใหม่ นั่นคือ "รัฐอิเล็กตรอน" (Electro-State) ซึ่งอำนาจไม่ได้มาจากทรัพยากรใต้ดิน แต่มาจากการควบคุมเทคโนโลยี กำลังการผลิต และห่วงโซ่อุปทานของพลังงานสะอาด ประเทศที่เป็นตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดของปรากฏการณ์นี้คือประเทศจีน ส่วนนี้จะทำการวิเคราะห์เชิงลึกถึงการที่จีนสามารถสร้างอำนาจนำที่ใกล้เคียงกับการผูกขาดในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ได้อย่างไร และที่สำคัญกว่านั้นคือ จีนกำลังแปรเปลี่ยนอำนาจทางอุตสาหกรรมนี้ให้กลายเป็นอำนาจต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทรงพลังได้อย่างไร

การครอบงำโดยการออกแบบ: ห่วงโซ่อุปทานเซลล์แสงอาทิตย์
อำนาจของจีนในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์นั้นครอบคลุมและลึกซึ้งอย่างยิ่ง ส่วนแบ่งตลาดโลกของจีนในทุกขั้นตอนการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ตั้งแต่โพลีซิลิคอน, อินกอต, เวเฟอร์, เซลล์ ไปจนถึงโมดูลสูงเกินกว่า 80% ในขั้นตอนต้นน้ำที่สำคัญที่สุดอย่างโพลีซิลิคอน ซึ่งเป็นวัตถุดิบบริสุทธิ์สูงสำหรับผลิตเวเฟอร์ คาดว่าส่วนแบ่งของจีนจะสูงถึงเกือบ 95% ในอนาคตอันใกล้ การครอบงำนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากนโยบายอุตสาหกรรมเชิงรุกของรัฐบาลจีนที่ดำเนินมานานกว่าทศวรรษ ซึ่งรวมถึงการลงทุนโดยรัฐ, การประหยัดจากขนาด (Economies of Scale), การบูรณาการในแนวดิ่ง (Vertical Integration) และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างอุตสาหกรรมนี้ทำให้จีนมีความได้เปรียบด้านต้นทุนที่ยากจะหาใครทัดเทียมได้ โดยการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในจีนมีต้นทุนต่ำกว่าในอินเดีย 10%, ต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกา 20% และต่ำกว่าในยุโรปถึง 35%  

ไกลกว่าพลังงานแสงอาทิตย์: อาณาจักรแบตเตอรี่
อำนาจของจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ยังขยายไปถึงอีกหนึ่งเสาหลักของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน นั่นคือแบตเตอรี่ บริษัทจีนควบคุมการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วโลกประมาณ 75% โดยสองบริษัทที่ใหญ่ที่สุดคือ CATL (ส่วนแบ่งตลาด 38%) และ BYD (ส่วนแบ่งตลาด 17%) ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วควบคุมตลาดแบตเตอรี่ทั่วโลกมากกว่า 55% การควบคุมนี้ยังครอบคลุมไปถึงชิ้นส่วนย่อยที่สำคัญ เช่น แคโทดและแอโนดอีกด้วย  

การแปรเปลี่ยนอำนาจทางอุตสาหกรรมสู่อำนาจต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์
อำนาจนำด้านการผลิตนี้เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ในยุคเชื้อเพลิงฟอสซิลในศตวรรษที่ 20 อำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์มาจากการควบคุมทรัพยากรทางธรณีวิทยาที่มีจำกัด (น้ำมัน) แต่ในยุคพลังงานแสงอาทิตย์ วัตถุดิบหลัก (แสงอาทิตย์) มีอยู่ทุกหนทุกแห่งและไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น อำนาจจึงย้ายจากการควบคุมทรัพยากรไปสู่การควบคุม วิธีการเปลี่ยนทรัพยากรนั้นให้เป็นพลังงานที่ใช้งานได้ ซึ่งหมายถึงการควบคุมเทคโนโลยี กำลังการผลิต และห่วงโซ่อุปทาน จีนได้ดำเนินยุทธศาสตร์ชาติที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น "รัฐอิเล็กตรอน" แห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเทียบเท่ากับรัฐปิโตรเลียมในศตวรรษที่ 20 จีนได้แลกเปลี่ยนสถานะที่เปราะบางจากการเป็นผู้นำเข้าพลังงาน มาสู่สถานะที่เหนือกว่าในด้านเทคโนโลยีและการผลิตพลังงาน ซึ่งเป็นรูปแบบของอำนาจที่ยั่งยืนกว่า เพราะตั้งอยู่บนความรู้ความสามารถทางอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ปริมาณสำรองที่มีจำกัด

จีนกำลังใช้อำนาจนี้เพื่อขยายอิทธิพลไปทั่วโลก โดยการจัดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ในแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนกำลังทำให้ระบบพลังงานของประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีของตน สิ่งนี้สร้างเขตอิทธิพลใหม่และเข้ามาแทนที่บทบาทที่เคยเป็นของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของตะวันตกหรือรัฐปิโตรเลียม จีนได้กลายเป็นผู้จัดหาที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกประเทศที่ต้องการลดการปล่อยคาร์บอน  

ยิ่งไปกว่านั้น จีนกำลังใช้ "ลัทธิพาณิชยนิยมสีเขียว" (Green Mercantilism) และการใช้อาวุธจากกำลังการผลิตส่วนเกิน (Weaponization of Overcapacity) กำลังการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ของจีนสูงถึงกว่า 1,000 กิกะวัตต์ ซึ่งเป็นสองเท่าของความต้องการของโลก การมีอุปทานล้นตลาดมหาศาลนี้ช่วยกดดันให้ราคาแผงโซลาร์เซลล์ทั่วโลกต่ำลง ซึ่งผิวเผินแล้วดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมที่จงใจทำขึ้น โดยการท่วมตลาดโลกด้วยแผงราคาถูก จีนทำให้ประเทศอื่นๆ ไม่สามารถสร้างอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศของตนเองได้ในเชิงเศรษฐกิจหากไม่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลของตน สิ่งนี้บีบให้ประเทศอื่นๆ ต้องเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกลยุทธ์: คือต้องยอมรับการพึ่งพิงจีนในระยะยาวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศในราคาที่จับต้องได้ หรือต้องทุ่มเงินอุดหนุนมหาศาล (เช่น นโยบาย IRA ของสหรัฐฯ และ NZIA ของยุโรป) เพื่อสร้างอุตสาหกรรมในประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันน้อยกว่า จีนกำลังใช้อำนาจตลาดของตนเป็นเครื่องมือในการส่งออกภาวะเงินฝืดในภาคพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งในขณะเดียวกันก็ช่วยเร่งการลดคาร์บอนทั่วโลกตามเงื่อนไขของตน และบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันทางอุตสาหกรรมของคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์ นี่คือรูปแบบของอำนาจต่อรองระยะยาวที่ทรงพลังและแยบยล  

ส่วนที่ 4: การแย่งชิงทรัพยากรครั้งใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์ของแร่ธาตุสำคัญ
การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของภูมิรัฐศาสตร์ด้านทรัพยากร แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของมัน การพึ่งพิงน้ำมันและก๊าซกำลังถูกแทนที่ด้วยการพึ่งพิงทรัพยากรชุดใหม่ นั่นคือแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) ที่เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ส่วนนี้จะทำการสำรวจแผนที่ทรัพยากรใหม่นี้ โดยจะระบุแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ วิเคราะห์การกระจุกตัวอย่างสุดขั้วของการสกัดและการแปรรูป และประเมินถึงช่องโหว่ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานโลก

ส่วนประกอบพื้นฐานของการเปลี่ยนผ่าน
เทคโนโลยีพลังงานสะอาดแต่ละชนิดต้องการแร่ธาตุที่แตกต่างกัน เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอนพึ่งพาซิลิคอนบริสุทธิ์สูงเป็นหลัก โดยมีแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ ที่ใช้ในการเดินสายไฟและทำกรอบ ได้แก่ เงิน ทองแดง และอะลูมิเนียม แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขึ้นอยู่กับแร่ธาตุสำคัญ 5 ชนิด ได้แก่ ลิเธียม โคบอลต์ นิกเกิล แมงกานีส และกราไฟต์ และโครงข่ายไฟฟ้าต้องการทองแดงและอะลูมิเนียมในปริมาณมหาศาล  

การกระจุกตัวที่แหล่งกำเนิดและการแปรรูป
การสกัดแร่ธาตุเหล่านี้มีการกระจุกตัวทางภูมิศาสตร์สูงมาก เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) ผลิตโคบอลต์ที่ขุดได้มากกว่า 70% ของโลก และชิลีเป็นผู้ครองแหล่งสำรองลิเธียมที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่การทำเหมือง แต่อยู่ในขั้นตอนการแปรรูปและการถลุงแร่ในขั้นกลาง (Midstream Processing) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เปลี่ยนแร่ดิบให้เป็นวัสดุบริสุทธิ์สูงที่พร้อมใช้งานในอุตสาหกรรม และในขั้นตอนนี้ จีนมีอำนาจครอบงำอย่างสมบูรณ์ สำหรับแร่ธาตุสำคัญอย่างทองแดง ลิเธียม นิกเกิล โคบอลต์ กราไฟต์ และธาตุหายาก ส่วนแบ่งตลาดเฉลี่ยของสามประเทศผู้แปรรูปชั้นนำ (ซึ่งจีนเป็นผู้นำในเกือบทุกกรณี) สูงถึง 86% ในปี 2024 อำนาจควบคุมจุดคอขวดนี้ทำให้จีนมีอำนาจต่อรองมหาศาลเหนือห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด  

โครงสร้างนี้ได้สร้าง "ช่องโหว่ของห่วงโซ่อุปทานแบบสองขั้ว" (Bipolar Supply Chain Vulnerability) ขึ้นมา ห่วงโซ่อุปทานสำหรับแร่ธาตุสำคัญไม่ได้เพียงแค่กระจุกตัว แต่มีโครงสร้างเป็นสองขั้วที่ชัดเจน ขั้นตอนต้นน้ำ (การทำเหมือง) กระจุกตัวอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาเพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งหลายแห่งมีความเสี่ยงทางการเมืองสูง (เช่น DRC) ในขณะที่ขั้นตอนกลางน้ำ (การแปรรูป/การถลุง) เป็นการผูกขาดโดยผู้เล่นทางภูมิรัฐศาสตร์เพียงรายเดียวคือจีน โครงสร้างนี้ทำให้จีนมีอำนาจในฐานะ "ผู้เฝ้าประตู" (Gatekeeper) ที่ไม่เหมือนใคร ผลลัพธ์คือ โลกได้แลกเปลี่ยนการพึ่งพิงกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) มาเป็นการพึ่งพิงมหาอำนาจด้านการแปรรูปเพียงรายเดียว (จีน) และรัฐที่มีเหมืองแร่เพียงไม่กี่แห่งที่การเมืองไม่แน่นอน การพึ่งพิงรูปแบบใหมนี้อาจเปราะบางยิ่งกว่าเดิม  

การผงาดขึ้นของลัทธิชาตินิยมด้านทรัพยากร
เพื่อตอบสนองต่อความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ประเทศที่อุดมด้วยแร่ธาตุกำลังพยายามที่จะควบคุมและสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรของตนมากขึ้น "ยุทธศาสตร์ลิเธียมแห่งชาติ" (National Lithium Strategy) ของชิลีเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด โดยยุทธศาสตร์นี้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีบทบาทสำคัญในโครงการลิเธียมใหม่ทั้งหมด และกำหนดให้การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนต้องมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือควบคุมกิจการ แนวโน้มนี้ส่งสัญญาณถึงอนาคตที่การเจรจาต่อรองจะเข้มข้นขึ้น และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจเพื่อเข้าถึงและสร้างอิทธิพลในประเทศเหล่านี้จะทวีความรุนแรงขึ้น "เกมที่ยิ่งใหญ่" (The Great Game) แห่งศตวรรษที่ 21 จะไม่ได้เกิดขึ้นในสนามน้ำมันในตะวันออกกลางอีกต่อไป แต่จะเกิดขึ้นบนที่ราบเกลือลิเธียมในเทือกเขาแอนดีส, เหมืองโคบอลต์ในแอฟริกากลาง, และแหล่งนิกเกิลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

ติดต่อสอบถามและประเมินหน้างานฟรี:
บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SKE Solar)
โทร: 045-905-215
เว็บไซต์: www.supsaringkan.co.th
Facebook: facebook.com/SKESolarEnergyUbon
LINE: @supsaringkan97
#โซลาร์เซลล์ #ติดตั้งโซลาร์เซลล์ #ลดค่าไฟ #SKESolar #พลังงานแสงอาทิตย์ #การลงทุน


IMG_7945.jpeg
Miss Kaewthip
Hi
บทความที่เกี่ยวข้อง
เคล็ดลับดูแลรักษา Sungrow SG5.0RS ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพเกิน 10 ปี
SKE แนะนำเคล็ดลับการบำรุงรักษาอินเวอร์เตอร์ Sungrow SG5.0RS ด้วยตัวเองง่ายๆ ตั้งแต่การดูแลความสะอาด, การระบายอากาศ, ไปจนถึงการตรวจสอบผ่านแอป iSolarCloud
12 ต.ค. 2025
คู่มือเลือกขนาดและจำนวนแผงโซล่าเซลล์สำหรับ Sungrow SG5.0RS
SKE แนะนำวิธีเลือกขนาดและจำนวนแผงโซล่าเซลล์ให้เหมาะสมกับอินเวอร์เตอร์ Sungrow SG5.0RS พร้อมหลักการคำนวณ DC Oversizing และข้อควรระวังทางเทคนิค
11 ต.ค. 2025
10 คำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับ Sungrow SG5.0RS จากผู้ใช้งานจริง
SKE Solar ตอบ 10 คำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับอินเวอร์เตอร์ Sungrow SG5.0RS ตั้งแต่เรื่องไฟดับ, การต่อแบตเตอรี่, การรับประกัน, ไปจนถึงการใช้งานแอป iSolarCloud
11 ต.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ