EP.1 Energy Transition: เมื่อ "แสงอาทิตย์" เปลี่ยนดุลอำนาจมหาอำนาจโลก
ระเบียบพลังงานใหม่: การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ในการเปลี่ยนผ่านจากรัฐปิโตรเลียมสู่รัฐอิเล็กตรอน
ส่วนที่ 1: การปฏิวัติพลังงานที่กำลังเผยตัว: ภาพรวมเชิงปริมาณ
รากฐานของการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของโลกในศตวรรษที่ 21 ตั้งอยู่บนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบพลังงานโลก การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เคยเป็นหัวใจหลักของความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมมานานกว่าศตวรรษ ไปสู่ระบบที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดการณ์ในอนาคตอันไกลอีกต่อไป แต่เป็นความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแรงผลักดันที่ไม่อาจย้อนกลับได้ การวิเคราะห์เชิงปริมาณในส่วนนี้จะสังเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยงานพลังงานชั้นนำของโลก เพื่อสร้างภาพที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีขนาดและความเร็วมากเพียงใด ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเชิงประจักษ์สำหรับการวิเคราะห์ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ในส่วนต่อๆ ไป
การผงาดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งของพลังงานแสงอาทิตย์และลม
ข้อมูลจากการคาดการณ์ในทุกสถานการณ์ที่น่าเชื่อถือได้ชี้ตรงกันว่า แหล่งพลังงานหมุนเวียนซึ่งนำโดยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar PV) และพลังงานลม จะกลายเป็นองค์ประกอบหลักในการผลิตไฟฟ้าของโลก โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกภายในปี 2050 การเติบโตนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้คาดการณ์ถึงหมุดหมายสำคัญหลายประการที่จะเกิดขึ้นในทศวรรษนี้ ซึ่งจะยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ด้านพลังงานอย่างชัดเจน:
ปี 2025: การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะแซงหน้าการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ปี 2026: การผลิตไฟฟ้าจากทั้งพลังงานลมและเซลล์แสงอาทิตย์จะแซงหน้าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์
ปี 2029: การผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จะแซงหน้าพลังงานน้ำ และกลายเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อัตราการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่เฉลี่ย 5.9% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าสองเท่าของอัตราการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกโดยรวมที่ 2.5% ต่อปี ตัวเลขนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันบ่งชี้ว่าพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่ยังเริ่มเข้ามาแทนที่ส่วนแบ่งของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีอยู่เดิมอีกด้วย ความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากภาคอาคาร การขนส่ง การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังถูกตอบสนองเกือบทั้งหมดโดยแหล่งพลังงานปล่อยมลพิษต่ำ ซึ่งนำโดยการขยายตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนของเซลล์แสงอาทิตย์
การเสื่อมถอยเชิงโครงสร้างของเชื้อเพลิงฟอสซิล
ในขณะที่พลังงานหมุนเวียนกำลังรุ่งโรจน์ เชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการเสื่อมถอยเชิงโครงสร้าง แม้ว่าความเร็วของการเสื่อมถอยจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ แต่ทิศทางนั้นชัดเจน:
ถ่านหิน: ความต้องการถ่านหินทั่วโลกจะลดลงในทุกสถานการณ์ โดยคาดว่าจะลดลงระหว่าง 28% ถึง 93% ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับปี 2023
ก๊าซธรรมชาติ: อนาคตของก๊าซธรรมชาติมีความหลากหลายมากกว่า ในสถานการณ์ที่นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศไม่เข้มงวด ความต้องการอาจทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น แต่ในสถานการณ์ที่มุ่งมั่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความต้องการจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะไม่หายไปทั้งหมดก็ตาม
น้ำมัน: แม้ว่าความต้องการน้ำมันและก๊าซจะยังคงอยู่ในระดับสูงในระยะสั้น แต่การคาดการณ์ที่สำคัญที่สุดจาก IEA ในสถานการณ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ระบุว่า "ไม่จำเป็นต้องมีโครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแบบดั้งเดิมที่มีระยะเวลานำยาวนานโครงการใหม่" นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลทุกชนิดจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030 และจะเริ่มลดลงหลังจากนั้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะนโยบาย แต่ยังถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์ที่ทรงพลัง ปัจจุบัน พลังงานแสงอาทิตย์เป็นทางเลือกที่ถูกที่สุดสำหรับการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในเกือบทุกประเทศทั่วโลก ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจนี้ เมื่อรวมกับต้นทุนด้านสุขภาพและเศรษฐกิจมหาศาลที่เกิดจากมลพิษทางอากาศที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งประเมินไว้ที่ 8.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ได้สร้างแรงจูงใจที่แข็งแกร่งและเสริมแรงซึ่งกันและกันให้เร่งการเปลี่ยนผ่าน การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเปลี่ยนนิยามของ "ความมั่นคงทางพลังงาน" จากเดิมที่มุ่งเน้นการจัดหาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีความผันผวน ไปสู่การสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางภูมิรัฐศาสตร์ "จุดตัด" (Crossover Point) ที่พลังงานหมุนเวียนแซงหน้าถ่านหินในปี 2025 ไม่ใช่แค่หมุดหมายทางสถิติ แต่เป็นสัญญาณทางจิตวิทยาและตลาดที่ทรงพลัง เมื่อกระบวนทัศน์พลังงานใหม่กลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่าในแง่ของ กำลังการผลิต มันจะกระตุ้นให้เกิดการไหลออกของเงินทุนอย่างรวดเร็วจากกระบวนทัศน์เก่า (เชื้อเพลิงฟอสซิล) และการหลั่งไหลของการลงทุนเข้าสู่กระบวนทัศน์ใหม่ (พลังงานหมุนเวียน) การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเงินทุนและความเชื่อมั่นนี้จะกัดกร่อนการรับรู้ถึงความอยู่รอดในระยะยาวของสินทรัพย์หลักของรัฐปิโตรเลียม การรับรู้ถึงการเสื่อมถอยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้จะกระตุ้นให้รัฐปิโตรเลียมมีพฤติกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้สูงสุดในระยะสั้นอย่างก้าวร้าวมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมนโยบายอุตสาหกรรมของรัฐอิเล็กตรอนที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ จุดตัดนี้เปรียบเสมือนเสียงปืนที่ส่งสัญญาณเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนดุลอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในระยะสุดท้าย
ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ "การแยกตัวครั้งใหญ่" (The Great Decoupling) ของการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากการบริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิล แม้ว่าความต้องการพลังงานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจากการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น, AI, และการพัฒนาในกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) แต่ความต้องการที่เพิ่มขึ้น ใหม่ ทั้งหมดนี้กำลังถูกตอบสนองโดยแหล่งพลังงานปล่อยมลพิษต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่คือพลังงานแสงอาทิตย์ นี่หมายความว่าเป็นครั้งแรกในยุคอุตสาหกรรมที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกกำลังแยกตัวออกจากการบริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิล สิ่งนี้ได้ทำลายข้อโต้แย้งหลักที่ผู้ส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลเคยใช้มาโดยตลอด นั่นคือโลกต้องการผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเพื่อการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรือง มันเปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถแสวงหาการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่ต้องผูกมัดตัวเองเข้ากับการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา ซึ่งเป็นการบั่นทอนอำนาจต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ในระยะยาวของรัฐปิโตรเลียมที่มีต่อกลุ่มประเทศโลกใต้
ส่วนที่ 2: ยุคอัสดงของรัฐปิโตรเลียม: การปรับตัวและการต่อต้าน
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ด้านพลังงานที่อธิบายไว้ในส่วนที่แล้วได้สร้างสภาวะที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อมหาอำนาจพลังงานดั้งเดิมของโลก หรือที่เรียกว่า "รัฐปิโตรเลียม" (Petro-States) ประเทศเหล่านี้ซึ่งอำนาจรัฐและอิทธิพลระหว่างประเทศถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของรายได้จากไฮโดรคาร์บอน กำลังเผชิญกับภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของรูปแบบรัฐที่เป็นอยู่ ส่วนนี้จะวิเคราะห์ถึงสภาวะการณ์ของมหาอำนาจเหล่านี้ โดยจะแสดงให้เห็นถึงการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจอย่างสุดขั้วต่อเชื้อเพลิงฟอสซิล และจะเจาะลึกถึงกลยุทธ์การตอบสนองของพวกเขา ซึ่งมีตั้งแต่ความพยายามอย่างแข็งขันในการจัดการการเสื่อมถอยและสร้างรายได้สูงสุดในระยะสั้น ไปจนถึงแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจระยะยาวที่ทะเยอทะยาน
รากฐานแห่งอำนาจ: การพึ่งพิงทางเศรษฐกิจต่อไฮโดรคาร์บอน
อำนาจของรัฐปิโตรเลียมไม่ได้มาจากขนาดกองทัพหรืออุดมการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก แต่มาจากความสามารถในการควบคุมและส่งออกทรัพยากรไฮโดรคาร์บอน ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลที่ค้ำจุนโครงสร้างรัฐและช่วยให้สามารถแผ่อิทธิพลในเวทีโลกได้ การพึ่งพิงนี้มีระดับที่สูงมากจนน่าตกใจ ในซาอุดีอาระเบีย ภาคปิโตรเลียมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และสูงถึง 90% ของรายได้จากการส่งออก ในอดีต รายได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนระหว่าง 30% ถึง 45% ของงบประมาณของรัฐบาลกลาง และสำหรับประเทศสมาชิก OPEC อื่นๆ เช่น แอลจีเรีย อิรัก และคูเวต เชื้อเพลิงคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของการส่งออกทั้งหมด โครงสร้างทางเศรษฐกิจเช่นนี้ทำให้เสถียรภาพของรัฐและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศเหล่านี้มีความเปราะบางอย่างยิ่งต่อการลดลงของความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว
การจัดการการเสื่อมถอย: พันธมิตร OPEC+
เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านพลังงาน รัฐปิโตรเลียมได้พัฒนากลยุทธ์หลักในการจัดการการเสื่อมถอย นั่นคือการร่วมมือกันภายใต้กลุ่ม OPEC+ ซึ่งเป็นการขยายความร่วมมือจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) เดิม โดยรวมรัสเซียเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญ ความร่วมมือระหว่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซียนี้ได้เพิ่มขนาด วินัย และประสิทธิภาพของกลุ่มพันธมิตรอย่างมีนัยสำคัญ เป้าหมายหลักคือการดำเนินนโยบายที่ "แข็งกร้าว" (hawkish) มากขึ้นเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันให้สูง โดยการลดกำลังการผลิตอย่างมีวินัยเพื่อพยุงตลาด
การกระทำของ OPEC+ เช่น การลดกำลังการผลิต มักถูกมองในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์ว่าเป็นมาตรการเชิงรุกที่มุ่งเป้าไปที่ประเทศผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในบริบทของความต้องการน้ำมันที่คาดว่าจะถึงจุดสูงสุดและลดลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การกระทำเหล่านี้สามารถเข้าใจได้ดีขึ้นว่าเป็นกลยุทธ์ทางการเงินเชิงรับ เป้าหมายไม่ใช่การกลับมาครองตลาดในระยะยาว แต่เป็นการสร้างรายได้สูงสุดจากสินทรัพย์ที่กำลังเสื่อมค่า
ก่อนที่ มันจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ไร้มูลค่า (stranded asset) นี่คือการรวมกลุ่มเพื่อจัดการการเลิกกิจการอย่างมีระบบ การกระทำของพวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่เสถียรภาพของราคาในระยะสั้นมากกว่าส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้ในแนวหลังเพื่อต้านทานความล้าสมัยของตลาด
สำหรับรัสเซีย ความร่วมมือนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อต้านมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกและลดทอนความพยายามในการโดดเดี่ยวรัสเซียในเวทีโลก ในขณะเดียวกัน สำหรับซาอุดีอาระเบีย มันคือการประกาศความเป็นอิสระจากอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา และการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ซึ่งเห็นได้จากการปฏิเสธคำขอของสหรัฐฯ ที่ให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน
การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ I - Saudi Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย
ซาอุดีอาระเบียตระหนักถึงภัยคุกคามต่อความอยู่รอดจากการลดคาร์บอน และได้เปิดตัวแผน "Vision 2030" ซึ่งเป็นแผนปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมที่ทะเยอทะยานที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักร เป้าหมายหลักคือการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจให้พ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน หนึ่งในเสาหลักที่สำคัญที่สุดของแผนนี้คือ "โครงการส่วนผสมพลังงานที่เหมาะสมที่สุด" (Optimum Energy Mix Program) ซึ่งตั้งเป้าหมายให้การผลิตไฟฟ้าในประเทศมาจากก๊าซธรรมชาติ 50% และพลังงานหมุนเวียน 50% ภายในปี 2030 แผนนี้รวมถึงการเลิกใช้เชื้อเพลิงเหลวในการผลิตไฟฟ้าอย่างสิ้นเชิง และการสร้างห่วงโซ่มูลค่าพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาไปจนถึงการผลิต
อย่างไรก็ตาม แผนการปฏิรูปนี้ได้สร้าง "ความขัดแย้งในการกระจายความเสี่ยง" (Diversification Paradox) ขึ้นมา แผน Vision 2030 ที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์นี้ จำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาล ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากรายได้จากการขายน้ำมัน สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งพื้นฐานขึ้น: เพื่อที่จะ финансироватьอนาคตสีเขียวของตน ซาอุดีอาระเบียจำเป็นต้องรักษาราคาน้ำมันให้สูงในปัจจุบัน ความจำเป็นนี้บีบให้ซาอุดีอาระเบียต้องดำเนินนโยบาย (เช่น การลดกำลังการผลิตของ OPEC+) ที่ขัดแย้งโดยตรงกับเป้าหมายด้านสภาพอากาศและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของพันธมิตรด้านความมั่นคงดั้งเดิมอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ความตึงเครียดเชิงโครงสร้างนี้จะเป็นแหล่งที่มาสำคัญของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต โดยที่ชาติตะวันตกจะผลักดันให้ราคาน้ำมันลดลงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและเร่งการเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียต้องการราคาสูงเพื่อเป็นทุนในการหลุดพ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน
การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ II - กลยุทธ์ที่คลุมเครือของรัสเซีย
แนวทางของรัสเซียมีความขัดแย้งในตัวเองมากกว่า แม้จะตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060 แต่กลยุทธ์ของรัสเซียกลับพึ่งพาการส่งเสริมก๊าซธรรมชาติในฐานะ "เชื้อเพลิงเปลี่ยนผ่านที่สะอาด" และใช้ประโยชน์จากกำลังการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากยุคโซเวียต ท่าทีอย่างเป็นทางการคือภาคพลังงานของรัสเซียนั้น "สะอาดเพียงพอแล้ว" และไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำให้สะอาดยิ่งขึ้นไปอีก
ในขณะเดียวกัน รัสเซียก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างรายได้จากทรัพยากรไฮโดรคาร์บอนของตนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่ความต้องการของโลกจะจางหายไป นี่สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการชะลอและปรับเปลี่ยนรูปแบบการเปลี่ยนผ่านพลังงานให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง มากกว่าที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง รัสเซียมองว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของชาติ และยังคงมองว่าพลังงานหมุนเวียนเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเป็นมุมมองที่ล้าสมัยไปแล้วในทศวรรษ 2020
โดยสรุป รัฐปิโตรเลียมกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ พวกเขากำลังใช้เครื่องมือที่มีอยู่ เช่น การควบคุมการผลิตน้ำมัน เพื่อยืดเวลาและจัดการการเสื่อมถอยของอำนาจ ในขณะที่บางประเทศอย่างซาอุดีอาระเบียกำลังพยายามอย่างจริงจังที่จะปฏิวัติตัวเองเพื่อความอยู่รอดในระเบียบพลังงานใหม่ แต่ความสำเร็จของความพยายามเหล่านี้ยังคงไม่แน่นอนและเต็มไปด้วยความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่จะเป็นตัวกำหนดพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ในทศวรรษหน้า
ส่วนที่ 3: รุ่งอรุณแห่งรัฐอิเล็กตรอน: อำนาจนำด้านพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ของจีน
ในขณะที่ยุคของรัฐปิโตรเลียมกำลังคล้อยสู่ช่วงอัสดง การเปลี่ยนผ่านพลังงานได้ให้กำเนิดมหาอำนาจรูปแบบใหม่ นั่นคือ "รัฐอิเล็กตรอน" (Electro-State) ซึ่งอำนาจไม่ได้มาจากทรัพยากรใต้ดิน แต่มาจากการควบคุมเทคโนโลยี กำลังการผลิต และห่วงโซ่อุปทานของพลังงานสะอาด ประเทศที่เป็นตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดของปรากฏการณ์นี้คือประเทศจีน ส่วนนี้จะทำการวิเคราะห์เชิงลึกถึงการที่จีนสามารถสร้างอำนาจนำที่ใกล้เคียงกับการผูกขาดในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ได้อย่างไร และที่สำคัญกว่านั้นคือ จีนกำลังแปรเปลี่ยนอำนาจทางอุตสาหกรรมนี้ให้กลายเป็นอำนาจต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทรงพลังได้อย่างไร
การครอบงำโดยการออกแบบ: ห่วงโซ่อุปทานเซลล์แสงอาทิตย์
อำนาจของจีนในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์นั้นครอบคลุมและลึกซึ้งอย่างยิ่ง ส่วนแบ่งตลาดโลกของจีนในทุกขั้นตอนการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ตั้งแต่โพลีซิลิคอน, อินกอต, เวเฟอร์, เซลล์ ไปจนถึงโมดูลสูงเกินกว่า 80% ในขั้นตอนต้นน้ำที่สำคัญที่สุดอย่างโพลีซิลิคอน ซึ่งเป็นวัตถุดิบบริสุทธิ์สูงสำหรับผลิตเวเฟอร์ คาดว่าส่วนแบ่งของจีนจะสูงถึงเกือบ 95% ในอนาคตอันใกล้ การครอบงำนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากนโยบายอุตสาหกรรมเชิงรุกของรัฐบาลจีนที่ดำเนินมานานกว่าทศวรรษ ซึ่งรวมถึงการลงทุนโดยรัฐ, การประหยัดจากขนาด (Economies of Scale), การบูรณาการในแนวดิ่ง (Vertical Integration) และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างอุตสาหกรรมนี้ทำให้จีนมีความได้เปรียบด้านต้นทุนที่ยากจะหาใครทัดเทียมได้ โดยการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในจีนมีต้นทุนต่ำกว่าในอินเดีย 10%, ต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกา 20% และต่ำกว่าในยุโรปถึง 35%
ไกลกว่าพลังงานแสงอาทิตย์: อาณาจักรแบตเตอรี่
อำนาจของจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ยังขยายไปถึงอีกหนึ่งเสาหลักของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน นั่นคือแบตเตอรี่ บริษัทจีนควบคุมการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วโลกประมาณ 75% โดยสองบริษัทที่ใหญ่ที่สุดคือ CATL (ส่วนแบ่งตลาด 38%) และ BYD (ส่วนแบ่งตลาด 17%) ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วควบคุมตลาดแบตเตอรี่ทั่วโลกมากกว่า 55% การควบคุมนี้ยังครอบคลุมไปถึงชิ้นส่วนย่อยที่สำคัญ เช่น แคโทดและแอโนดอีกด้วย
การแปรเปลี่ยนอำนาจทางอุตสาหกรรมสู่อำนาจต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์
อำนาจนำด้านการผลิตนี้เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ในยุคเชื้อเพลิงฟอสซิลในศตวรรษที่ 20 อำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์มาจากการควบคุมทรัพยากรทางธรณีวิทยาที่มีจำกัด (น้ำมัน) แต่ในยุคพลังงานแสงอาทิตย์ วัตถุดิบหลัก (แสงอาทิตย์) มีอยู่ทุกหนทุกแห่งและไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น อำนาจจึงย้ายจากการควบคุมทรัพยากรไปสู่การควบคุม วิธีการเปลี่ยนทรัพยากรนั้นให้เป็นพลังงานที่ใช้งานได้ ซึ่งหมายถึงการควบคุมเทคโนโลยี กำลังการผลิต และห่วงโซ่อุปทาน จีนได้ดำเนินยุทธศาสตร์ชาติที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น "รัฐอิเล็กตรอน" แห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเทียบเท่ากับรัฐปิโตรเลียมในศตวรรษที่ 20 จีนได้แลกเปลี่ยนสถานะที่เปราะบางจากการเป็นผู้นำเข้าพลังงาน มาสู่สถานะที่เหนือกว่าในด้านเทคโนโลยีและการผลิตพลังงาน ซึ่งเป็นรูปแบบของอำนาจที่ยั่งยืนกว่า เพราะตั้งอยู่บนความรู้ความสามารถทางอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ปริมาณสำรองที่มีจำกัด
จีนกำลังใช้อำนาจนี้เพื่อขยายอิทธิพลไปทั่วโลก โดยการจัดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ในแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนกำลังทำให้ระบบพลังงานของประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีของตน สิ่งนี้สร้างเขตอิทธิพลใหม่และเข้ามาแทนที่บทบาทที่เคยเป็นของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของตะวันตกหรือรัฐปิโตรเลียม จีนได้กลายเป็นผู้จัดหาที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกประเทศที่ต้องการลดการปล่อยคาร์บอน
ยิ่งไปกว่านั้น จีนกำลังใช้ "ลัทธิพาณิชยนิยมสีเขียว" (Green Mercantilism) และการใช้อาวุธจากกำลังการผลิตส่วนเกิน (Weaponization of Overcapacity) กำลังการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ของจีนสูงถึงกว่า 1,000 กิกะวัตต์ ซึ่งเป็นสองเท่าของความต้องการของโลก การมีอุปทานล้นตลาดมหาศาลนี้ช่วยกดดันให้ราคาแผงโซลาร์เซลล์ทั่วโลกต่ำลง ซึ่งผิวเผินแล้วดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมที่จงใจทำขึ้น โดยการท่วมตลาดโลกด้วยแผงราคาถูก จีนทำให้ประเทศอื่นๆ ไม่สามารถสร้างอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศของตนเองได้ในเชิงเศรษฐกิจหากไม่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลของตน สิ่งนี้บีบให้ประเทศอื่นๆ ต้องเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกลยุทธ์: คือต้องยอมรับการพึ่งพิงจีนในระยะยาวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศในราคาที่จับต้องได้ หรือต้องทุ่มเงินอุดหนุนมหาศาล (เช่น นโยบาย IRA ของสหรัฐฯ และ NZIA ของยุโรป) เพื่อสร้างอุตสาหกรรมในประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันน้อยกว่า จีนกำลังใช้อำนาจตลาดของตนเป็นเครื่องมือในการส่งออกภาวะเงินฝืดในภาคพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งในขณะเดียวกันก็ช่วยเร่งการลดคาร์บอนทั่วโลกตามเงื่อนไขของตน และบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันทางอุตสาหกรรมของคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์ นี่คือรูปแบบของอำนาจต่อรองระยะยาวที่ทรงพลังและแยบยล
ส่วนที่ 4: การแย่งชิงทรัพยากรครั้งใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์ของแร่ธาตุสำคัญ
การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของภูมิรัฐศาสตร์ด้านทรัพยากร แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของมัน การพึ่งพิงน้ำมันและก๊าซกำลังถูกแทนที่ด้วยการพึ่งพิงทรัพยากรชุดใหม่ นั่นคือแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) ที่เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ส่วนนี้จะทำการสำรวจแผนที่ทรัพยากรใหม่นี้ โดยจะระบุแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ วิเคราะห์การกระจุกตัวอย่างสุดขั้วของการสกัดและการแปรรูป และประเมินถึงช่องโหว่ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานโลก
ส่วนประกอบพื้นฐานของการเปลี่ยนผ่าน
เทคโนโลยีพลังงานสะอาดแต่ละชนิดต้องการแร่ธาตุที่แตกต่างกัน เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอนพึ่งพาซิลิคอนบริสุทธิ์สูงเป็นหลัก โดยมีแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ ที่ใช้ในการเดินสายไฟและทำกรอบ ได้แก่ เงิน ทองแดง และอะลูมิเนียม แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขึ้นอยู่กับแร่ธาตุสำคัญ 5 ชนิด ได้แก่ ลิเธียม โคบอลต์ นิกเกิล แมงกานีส และกราไฟต์ และโครงข่ายไฟฟ้าต้องการทองแดงและอะลูมิเนียมในปริมาณมหาศาล
การกระจุกตัวที่แหล่งกำเนิดและการแปรรูป
การสกัดแร่ธาตุเหล่านี้มีการกระจุกตัวทางภูมิศาสตร์สูงมาก เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) ผลิตโคบอลต์ที่ขุดได้มากกว่า 70% ของโลก และชิลีเป็นผู้ครองแหล่งสำรองลิเธียมที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่การทำเหมือง แต่อยู่ในขั้นตอนการแปรรูปและการถลุงแร่ในขั้นกลาง (Midstream Processing) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เปลี่ยนแร่ดิบให้เป็นวัสดุบริสุทธิ์สูงที่พร้อมใช้งานในอุตสาหกรรม และในขั้นตอนนี้ จีนมีอำนาจครอบงำอย่างสมบูรณ์ สำหรับแร่ธาตุสำคัญอย่างทองแดง ลิเธียม นิกเกิล โคบอลต์ กราไฟต์ และธาตุหายาก ส่วนแบ่งตลาดเฉลี่ยของสามประเทศผู้แปรรูปชั้นนำ (ซึ่งจีนเป็นผู้นำในเกือบทุกกรณี) สูงถึง 86% ในปี 2024 อำนาจควบคุมจุดคอขวดนี้ทำให้จีนมีอำนาจต่อรองมหาศาลเหนือห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด
โครงสร้างนี้ได้สร้าง "ช่องโหว่ของห่วงโซ่อุปทานแบบสองขั้ว" (Bipolar Supply Chain Vulnerability) ขึ้นมา ห่วงโซ่อุปทานสำหรับแร่ธาตุสำคัญไม่ได้เพียงแค่กระจุกตัว แต่มีโครงสร้างเป็นสองขั้วที่ชัดเจน ขั้นตอนต้นน้ำ (การทำเหมือง) กระจุกตัวอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาเพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งหลายแห่งมีความเสี่ยงทางการเมืองสูง (เช่น DRC) ในขณะที่ขั้นตอนกลางน้ำ (การแปรรูป/การถลุง) เป็นการผูกขาดโดยผู้เล่นทางภูมิรัฐศาสตร์เพียงรายเดียวคือจีน โครงสร้างนี้ทำให้จีนมีอำนาจในฐานะ "ผู้เฝ้าประตู" (Gatekeeper) ที่ไม่เหมือนใคร ผลลัพธ์คือ โลกได้แลกเปลี่ยนการพึ่งพิงกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) มาเป็นการพึ่งพิงมหาอำนาจด้านการแปรรูปเพียงรายเดียว (จีน) และรัฐที่มีเหมืองแร่เพียงไม่กี่แห่งที่การเมืองไม่แน่นอน การพึ่งพิงรูปแบบใหมนี้อาจเปราะบางยิ่งกว่าเดิม
การผงาดขึ้นของลัทธิชาตินิยมด้านทรัพยากร
เพื่อตอบสนองต่อความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ประเทศที่อุดมด้วยแร่ธาตุกำลังพยายามที่จะควบคุมและสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรของตนมากขึ้น "ยุทธศาสตร์ลิเธียมแห่งชาติ" (National Lithium Strategy) ของชิลีเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด โดยยุทธศาสตร์นี้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีบทบาทสำคัญในโครงการลิเธียมใหม่ทั้งหมด และกำหนดให้การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนต้องมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือควบคุมกิจการ แนวโน้มนี้ส่งสัญญาณถึงอนาคตที่การเจรจาต่อรองจะเข้มข้นขึ้น และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจเพื่อเข้าถึงและสร้างอิทธิพลในประเทศเหล่านี้จะทวีความรุนแรงขึ้น "เกมที่ยิ่งใหญ่" (The Great Game) แห่งศตวรรษที่ 21 จะไม่ได้เกิดขึ้นในสนามน้ำมันในตะวันออกกลางอีกต่อไป แต่จะเกิดขึ้นบนที่ราบเกลือลิเธียมในเทือกเขาแอนดีส, เหมืองโคบอลต์ในแอฟริกากลาง, และแหล่งนิกเกิลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ติดต่อสอบถามและประเมินหน้างานฟรี:
บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SKE Solar)
โทร: 045-905-215
เว็บไซต์: www.supsaringkan.co.th
Facebook: facebook.com/SKESolarEnergyUbon
LINE: @supsaringkan97
#โซลาร์เซลล์ #ติดตั้งโซลาร์เซลล์ #ลดค่าไฟ #SKESolar #พลังงานแสงอาทิตย์ #การลงทุน