[งบประมาณ] มีเงิน 10,000 บาท เริ่มเทรดหุ้นได้ไหม? (คำนวณงบจริง vs ความเสี่ยง) | SKE

[งบประมาณ] มีเงิน 10,000 บาท เริ่มเทรดหุ้นได้ไหม? (คำนวณงบจริง vs ความเสี่ยง) | SKE
คำถามยอดนิยมสำหรับมือใหม่ที่อยากเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนคือ "ต้องมีเงินเท่าไหร่?" และหลายคนก็เริ่มต้นด้วยคำถามว่า "มีเงิน 10,000 บาท เริ่มเทรดหุ้นได้ไหม?"
คำตอบสั้นๆ คือ: ได้... แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คุณคิด
การ "เริ่มได้" ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถสร้างกำไรมหาศาลได้ในทันที ในทางกลับกัน งบประมาณ 10,000 บาท คือ "ค่าเล่าเรียน" ที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับการลงสนามจริง บทความนี้จะพาไปคำนวณงบประมาณที่แท้จริง ข้อจำกัด และความเสี่ยงที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
เป้าหมายที่แท้จริงของเงิน 10,000 บาท
เป้าหมายไม่ใช่การทำกำไร 100% ในหนึ่งเดือน แต่คือการ "เรียนรู้" เรียนรู้การใช้งานโปรแกรม Streaming, เรียนรู้การอ่านกราฟ, เรียนรู้การคุมอารมณ์ตัวเองเมื่อหุ้นขึ้นหรือลง และที่สำคัญคือ เรียนรู้ที่จะไม่ขาดทุนจนหมดตัว
1. งบจริงที่ต้องเจอ: ค่าคอมมิชชั่น และ "Board Lot"
ก่อนจะกดซื้อ ต้องเข้าใจ "ต้นทุนแฝง" สองอย่างที่สำคัญมากสำหรับคนงบน้อย
1. ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Commission)
ทุกครั้งที่ "ซื้อ" และ "ขาย" ต้องมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้โบรกเกอร์ (บริษัทหลักทรัพย์) โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 0.15% - 0.25% ของมูลค่าซื้อขาย (บวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของค่าคอมฯ อีกที)
ตัวอย่าง: ซื้อหุ้น A มูลค่า 10,000 บาท (ค่าคอม 0.157%)
- ค่าคอมมิชชั่น = 10,000 x 0.157% = 15.70 บาท
- VAT 7% = 15.70 x 7% = 1.10 บาท
- รวมต้นทุนขาซื้อ = 16.80 บาท
เมื่อ "ขาย" หุ้นนี้ ก็ต้องจ่ายในอัตราเดียวกันอีกครั้ง หมายความว่าการซื้อ-ขาย 1 รอบ จะมีต้นทุนประมาณ 33.60 บาท (จากตัวอย่าง 10,000 บาท)
ข้อควรระวัง: โบรกเกอร์บางแห่งมี "ค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำ" (เช่น 50 บาทต่อวัน) หากเลือกโบรกเกอร์ที่มีขั้นต่ำ การซื้อขายครั้งละ 10,000 บาท จะเสียเปรียบอย่างมาก (แทนที่จะเสีย 16.80 บาท กลับต้องเสีย 50 บาท) มือใหม่งบน้อย ต้องเลือกโบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าคอมฯ ขั้นต่ำ
2. หน่วยการซื้อขาย (Board Lot)
นี่คือข้อจำกัดที่สำคัญที่สุด! ตลาดหุ้นไทยมีข้อกำหนดว่า การซื้อขายหุ้นบนกระดานหลัก (Main Board) ต้องซื้อขายเป็นหน่วย 100 หุ้น หรือที่เรียกว่า 1 Board Lot
ไม่สามารถซื้อหุ้น PTT 1 หุ้น หรือ CPALL 5 หุ้นได้ ต้องซื้ออย่างน้อย 100 หุ้น, 200 หุ้น, 1,500 หุ้น (เป็นหลักร้อย)
2. [คำนวณ] เงิน 10,000 บาท ซื้อหุ้นอะไรได้บ้าง?
จากกฎ 1 Board Lot (100 หุ้น) ทำให้งบ 10,000 บาท มีข้อจำกัดทันที ลองมาดูกันว่าสามารถซื้อหุ้นราคาเท่าไหร่ได้บ้าง:
| ราคาหุ้น (ต่อ 1 หุ้น) | เงินขั้นต่ำที่ต้องใช้ (ซื้อ 1 Board Lot = 100 หุ้น) | งบ 10,000 บาท ซื้อได้หรือไม่? |
|---|---|---|
| 5.00 บาท | 5.00 x 100 = 500 บาท | ซื้อได้ (ซื้อได้สูงสุด 2,000 หุ้น) |
| 30.00 บาท | 30.00 x 100 = 3,000 บาท | ซื้อได้ (ซื้อได้สูงสุด 300 หุ้น) |
| 80.00 บาท | 80.00 x 100 = 8,000 บาท | ซื้อได้ (ซื้อได้ 100 หุ้น) |
| 150.00 บาท | 150.00 x 100 = 15,000 บาท | ซื้อไม่ได้ (เงินไม่พอสำหรับ 1 Board Lot) |
สรุปคือ: เงิน 10,000 บาท ทำให้สามารถซื้อหุ้นได้ 1 Board Lot ก็ต่อเมื่อหุ้นนั้นมีราคา ไม่เกิน 100 บาทต่อหุ้น (100 บาท x 100 หุ้น = 10,000 บาท) ซึ่งหมายความว่าหุ้นพื้นฐานดีราคาแพงหลายตัว (เช่น DELTA, AOT, PTT ในบางช่วง) อาจไม่สามารถซื้อได้
3. ความเสี่ยงและความจริง ของพอร์ต 10,000 บาท
เมื่องบประมาณมีจำกัด ความเสี่ยงจึงสูงขึ้นในบางมิติ:
1. "เจ๊ง" เพราะค่าคอมมิชชั่น
นี่คือกับดักที่อันตรายที่สุดสำหรับคนพอร์ตเล็ก สมมติซื้อหุ้นราคา 80 บาท จำนวน 100 หุ้น (ใช้เงิน 8,000 บาท)
- ต่อมาหุ้นขึ้น 1 ช่อง เป็น 80.25 บาท รีบขายทำกำไร
- กำไรส่วนต่างราคา = (80.25 - 80.00) x 100 หุ้น = 25 บาท
- แต่! ต้องจ่ายค่าคอมฯ ขาซื้อ (ประมาณ 14 บาท) และขาขาย (ประมาณ 14 บาท) รวม = 28 บาท
ผลลัพธ์: ขาดทุน (25 - 28 = -3 บาท) ทั้งๆ ที่ราคาหุ้นขึ้น!สำหรับพอร์ต 10,000 บาท หุ้นต้องบวกอย่างน้อย 0.5% ถึง 1.0% (ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์) เพียงเพื่อให้ "เท่าทุน" ค่าคอมมิชชั่น การเทรดเข้าออกบ่อยๆ (Day Trading) จึงแทบเป็นไปไม่ได้และจะทำให้เงินหายไปอย่างรวดเร็ว
2. การกระจายความเสี่ยง (Diversification) ทำได้ยาก
หลักการลงทุนที่ดีคือ "อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว" แต่ด้วยงบ 10,000 บาท อาจซื้อหุ้นได้เพียง 1 หรือ 2 ตัวเท่านั้น (เช่น ซื้อหุ้นราคา 30 บาท ได้ 100 หุ้น และหุ้นราคา 50 บาท ได้ 100 หุ้น) หากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่เลือกลงหนัก พอร์ตโดยรวมก็จะเสียหายหนักตามไปด้วย
4. สรุปกลยุทธ์สำหรับงบ 10,000 บาท (เพื่อ "เรียนรู้")
เมื่อเป้าหมายคือ "ประสบการณ์" ไม่ใช่ "กำไร" กลยุทธ์ควรเป็นดังนี้:
- เลือกโบรกเกอร์ที่ "ไม่มีค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำ": สำคัญที่สุด! เพื่อไม่ให้โดนค่าธรรมเนียมกินจนหมด
- มองหา "หุ้นที่ต่ำกว่า 100 บาท": เพื่อให้สามารถซื้อ 1 Board Lot ได้
- เปลี่ยนเป้าหมายจาก "กำไร" เป็น "ประสบการณ์": ตั้งเป้าว่าเงินก้อนนี้คือการเรียนรู้ ลองซื้อ, ลองถือ, ลองขาย, ลองอ่านงบการเงินของบริษัทที่ซื้อ
- อดทน (อย่าเทรดบ่อย): เนื่องจากค่าคอมมิชชั่นคืออุปสรรคสำคัญ การซื้อและถือ (Swing Trade หรือ Run Trend) จึงเหมาะสมกว่าการเทรดรายวัน ต้องปล่อยให้กำไรเติบโตมากพอ (เช่น 5% - 10%) ก่อนที่จะขาย เพื่อให้คุ้มค่าธรรมเนียม
เงิน 10,000 บาท คือจุดเริ่มต้นที่ดีมากในการ "เริ่มเรียนรู้" ตลาดหุ้นด้วยเงินจริง ถ้าสามารถรักษาเงินก้อนนี้ไว้และเข้าใจเกมใน 1 ปี เงินก้อนนี้คือ "ค่าเล่าเรียน" ที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตการลงทุน
แหล่งอ้างอิง (References)
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET). (2568). คำนวณค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์. เข้าถึงได้จาก www.set.or.th
- Settrade. (2568). Board Lot. เข้าถึงได้จาก www.settrade.com
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.). (2568). คู่มือผู้ลงทุน. เข้าถึงได้จาก www.sec.or.th
SKE Solar (ตัวแทนจำหน่าย Sungrow) พร้อมดูแลครบวงจร!
ติดต่อเราเพื่อสำรวจหน้างานและรับคำปรึกษา "ฟรี" ได้เลยวันนี้!
บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SKE Solar)
(ตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง Sungrow อย่างเป็นทางการ)
โทร: 045-905-215
เว็บไซต์: www.supsaringkan.co.th
Facebook: facebook.com/SKESolarEnergyUbon
LINE: @760fgpmx
#โซล่าเซลล์อุบล #ภาคอีสาน #SKEolar #Sungrow #ขออนุญาตPEA #ROI #ติดตั้งทั่วไทย
© 2025 บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ | Copyright © 2025 Supsaringkan Engineering Co., Ltd. All Rights Reserved.
Miss Kaewthip



